วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

การเขียนข่าวเพื่อประชาสัมพันธ์

       
          ข่าว คือ การรายงานเสนอเรื่องราว เพื่อสื่อความหมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ข้อเท็จจริง ความคิดและ สิ่งต่าง ๆ ที่มีความแปลกใหม่ เด่น เป็นความรู้และน่าสนใจ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างปัจจุบัน ทันเวลา ไปสู่ผู้อ่าน ผู้ดู ผู้ฟัง ให้ได้ทราบสิ่งนั้น ทั้งนี้คำจำกัดความของข่าวนั้น จะขึ้นอยู่กับว่า ผู้รับข่าว หรือผู้ส่งข่าวมองเหตุการณ์หรือเรื่องราวนั้น ๆ ในมุมใดก็จะเสนอความคิดเห็นออกมา ปัจจุบันได้มีการแบ่งประเภทข่าวตามลักษณะเนื้อหาของข่าวได้ 3 ประเภท คือ
ข่าวแบบตรงไปตรงมา (Straight News) เป็นการมุ่งรายงานข้อเท็จจริง ภาษาเขียนรายงาน เช่น ข่าวหนังสือพิมพ์สยามรัฐ
ข่าวที่ประชาชนทั่วไปให้ความสนใจ (Human Interest) เป็นการมุ่งรายงานเรื่องที่ตื่นเต้น แปลกใหม่ น่าสนใจ เช่น พบงู 2 หัว
ข่าวที่เสนอให้เห็นความเด่นชัดเจน (Feature News) เป็นการรายงานเพื่อให้เกิดความบันเทิงใจแก่ผู้อ่าน เช่น คอลัมน์สำนักข่าวหัวเขียวไทยรัฐ
สำหรับโครงการสร้างการเขียนข่าวทุกประเภท จะประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก คือ

1. หัวข่าว (Headline) หลักในเขียนหัวข่าวต้องใช้คำสั้นมีความหมายสุด แต่ไม่ถึงกับใช้คำง่ายจนผู้อ่านไม่เข้าใจ หรือหากจะใช้คำย่อก็ต้องเป็นคำย่อที่รู้กันโดยทั่วไป และเขียนให้มีความหมายในทางบวก

2. ความนำ (Lead) คือ ประโยค หรือ สองประโยคแรกของข่าว ซึ่งมักใช้คำนำที่ประกอบด้วย 5 W 1 H (Who What Where When Why และ How) เช่น ใครทำอะไรกระทบกับใคร อะไรเกิดขึ้น เกิดขึ้นที่ไหน วันเวลาใด ทำไมจึงเกิดขึ้นและเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งความนำที่ดีจะต้อง
ถูกต้อง เที่ยงตรง ดึงดูดความสนใจ
ความนำทุกประเภทต้องมีความกระชับไม่ยุ่งเหยิง
สถานที่เกิดเหตุโดยทั่วไปหากไม่มีความสำคัญจริง ๆ ไม่ควรเขียนไว้ในความนำ และหากสำคัญสามารถเขียนไว้ในส่วนของเนื้อเรื่องได้
ตัวเลขที่เป็นอายุของผู้เกี่ยวข้องในข่าว ไม่มีความสำคัญที่จะต้องอยู่ในความนำ แต่หากมีความสำคัญควรเลือกใช้คำอื่นแทน เช่น ชายสูงอายุ หญิงชรา หรือ ทารก
การเขียนความนำข่าวที่ดี ควรเขียนถึงเหตุการณ์ว่า เกิดอะไรขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการเขียนความนำที่กล่าวถึงสถานที่ หรือสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่มีความสำคัญ ความจำเป็นเพียงพอที่จะดึงความสนใจของผู้ฟัง

3. เนื้อเรื่อง (Body) คือส่วนที่ถัดจากความนำ เป็นส่วนของการนำเข้าข้อมูลใหม่ และขยายส่วนที่กล่าวไว้ในความนำมาจัดลำดับเนื้อเรื่องข่าว ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท

3.1 การจัดลำดับเนื้อเรื่องตามลำดับเวลา ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดสำหรับข่าวที่มี
ลำดับเหตุการณ์ โดยอธิบายทีละขั้นจากสาเหตุไปสู่ผลกระทบ ส่วนมากจะเป็นข่าวอาชญากรรมหรือข่าวอุบัติเหตุ

3.2 การจัดลำดับเนื้อเรื่องจากผลย้อนไปสู่เหตุ คือ การนำเสนอข่าวที่จะให้ผลที่เกิดจากเหตุ
เป็นลำดับแรกเสมอและเมื่อแสดงถึงผลที่เกิดแล้ว จึงกลับมาอธิบายสาเหตุและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

3.3 การจัดลำดับเนื้อเรื่องตามลำดับประเด็น มีแนวทางคล้ายคลึงกับการจัดลำดับเนื้อเรื่อง
จากผลย้อนไปสู่เหตุ แต่นิยมใช้กับข่าวที่มีการแสดงทัศนคติต่อประเด็นข่าวจำนวนมาก

4. ส่วนท้าย (End) เป็นส่วนของข้อความที่มีลักษณะการเขียนอย่างสั้น ๆ ในตอนท้ายของข่าวหรือเป็นการสรุปอย่างสั้น ๆ ปิดท้าย หรืออาจเป็นการนำเข้าสู่ข้อเท็จจริงอื่นที่ไม่ใช่เป็นการให้ข้อมูลหรือประเด็นใหม่แต่เป็นข้อเท็จจริงที่มีในเนื้อข่าว หรืออาจเขียนถึงความเป็นไปได้ในอนาคตของข่าวนั้น ซึ่งข้อพึงระวังในการเขียนข่าวส่วนท้าย คือ ข้อความของส่วนท้ายไม่ควรมีลักษณะที่เป็นการอธิบายครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือไม่สมบูรณ์

          ทั้งหมดนี้เป็นเพียงหลักการเขียนข่าวโดยย่อ ที่นำมาเสนอให้ได้รับทราบกัน แต่ถ้าจะให้ดี ก็ต้องลองลงมือปฏิบัติจริง และฝึกเขียนบ่อย ๆ ก็จะชำนาญและเข้าใจถึงเทคนิคการเขียนให้น่าสนใจได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป


ที่มา : เกียรติพงษ์ อุดมธนะธีระ


ตัวอย่างการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์


เอกสารอ้างอิง.
เบญสิร์ยา ปานปุญญเดช ; 5 ก.พ. ไม่ทราบปี หลักการเขียนข่าวเพื่อประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ สืบค้นจาก  http://www.km-web.rmutt.ac.th/?p=164
Lada Noparat ; 22 ก.พ. 2015 การเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ [Video File.] สืบค้นจาก https://www.youtube.com/watch?v=TPEZm2Tc4PE

การเขียนบทความ

                      "บทความคือ ความเรียงที่เขียนขึ้นโดยมีหลักฐานข้อเท็จจริง"
          บทความ คือ ความเรียงที่เขียนขึ้นโดยมีหลักฐานข้อเท็จจริง และในเนื้อหานั้นผู้เขียน ได้แทรกข้อเสนอแนะเชิงวิจารณ์หรือสร้างสรรค์เอาไว้ด้วย บทความเป็นงานเขียนที่ปรากฏคู่กับหนังสือพิมพ์ เพราะบทความเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์เป็นส่วนใหญ่เพิ่งนิยมกันในหมู่นักอ่านและ ผู้เขียนในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้เอง แต่ก็แพร่หลายอย่างรวดเร็ว รูปแบบการเขียนบทความคล้ายกับเรียงความมากและถึงแม้เนื้อหาสาระของบทความส่วนใหญ่จะได้จากข่าวสด แต่วิธีเขียนบทความก็ต่างจากวิธีเขียนข่าวเช่นเดียวกัน



ลักษณะเฉพาะของบทความ

1. ต้องเป็นเรื่องที่ผู้อ่านส่วนมากกำลังสนใจอยู่ในขณะนั้น อาจเป็นปัญหาที่คนกำลังอยากรู้ว่าจะ
    ดำเนิน ต่อไปอย่างไร หรือมีผลอย่างไร หรือเป็นเรื่องที่เข้ายุคเข้าสมัย
2. ต้องมีแก่นสาร มีสาระอ่านแล้วได้ความรู้หรือความคิดเพิ่มเติมมิใช่เรื่องเลื่อนลอยไร้สาระ
3. ต้องมีข้อทรรศนะ ข้อคิดเห็น ตลอดจนข้อเสนอแนะของผู้เขียนแทรกอยู่ด้วย
4. มีวิธีเชิญชวนให้อ่าน อ่านแล้วท้าทายความคิด และสนุกเพลิดเพลินจากความคิดในเชิงถกเถียง
   โต้แย้งนั้น
5. เนื้อหาสาระ และสำนวนภาษาเหมาะสำหรับผู้อ่านที่มีการศึกษาอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะ ผู้อ่านที่มี
   การศึกษาน้อย นิยมอ่านข่าวสดมากกว่าบทความ

ลักษณะที่แตกต่างและเหมือนกันของบทความ เรียงความ และข่าว

1. รูปแบบ เรียงความและบทความมีรูปแบบการเขียนเหมือนกัน คือ มีโครงสร้าง อันประกอบด้วยสามส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุปหรือคำลงท้าย การตั้งชื่อเรื่องหรือหัวข้อเรื่องอาจจะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน ส่วนข่าวที่เป็นการเสนอเรื่องราวหรือเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง สาระสำคัญของข่าวอยู่ที่ความนำอันเป็นย่อหน้าแรกของการเขียนข่าว ส่วนย่อหน้าต่อ ๆ มามีความสำคัญลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ จนกระทั่งถึงย่อหน้าสุดท้ายอาจ ตัดทิ้งไปได้โดยไม่เสียความถ้าเนื้อที่กระดาษจำกัด

2. ความมุ่งหมาย บทความนั้นเขียนขึ้นเพื่อเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง หรือเหตุการณ์นั้น ๆ ส่วนเรียงความเป็นการเขียนเพื่อแสดงความรู้เกี่ยวกับหัวข้อเรื่องนั้นแต่เพียงอย่างเดียว

3. เนื้อเรื่อง หัวข้อเรื่องของบทความต้องทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ อยู่ในความสนใจของ ผู้อ่านขณะนั้น เวลาผ่านไปเพียงสัปดาห์หนึ่งหรือมากกว่านั้นก็อาจล้าสมัยไป ส่วนเรียงความ จะหยิบยกเอาเรื่องใด ๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมมาเขียนก็ได้ และหัวข้อเรื่องเดียวกันนี้ จะเขียนเมื่อไรก็ได้ไม่ถือว่าล้าสมัย แต่ข่าวมีอายุอยู่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าเสนอข่าวช้าไปสักวันหรือสองวันก็ไม่น่าสนใจเสียแล้ว

4. วิธีเขียน เรียงความเขียนด้วยท่วงทำนองการเขียนแบบเรียบ ๆ ไม่โลดโผน ต่างจากวิธีเขียนบทความที่ต้องการใช้สำนวนโวหารอันชวนให้อ่าน ให้คิดตามเนื้อเรื่อง การเขียนข่าวต้องตอบคำถาม 5 ข้อ คือ ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร และทำไม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น เขียนสั้น ๆ ตรงไปตรงมา ไม่มีความคิดเห็นของผู้เขียน ไม่มีชื่อผู้เขียนข่าว ใช้ภาษาที่ชนทุกชั้นอ่านได้ ไม่มี
ข้อความใดที่บ่งอารมณ์และความโน้มเอียงของผู้เขียน

ประเภทของบทความ


           บทความ แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ 2 ประเภท คือ บทความเชิงสาระ (Formal Essay) และ บทความเชิงปกิณกะ (Informal Essay) บทความเชิงสาระจะเน้นหนักไปทางวิชาการ ผู้เขียนต้องการอธิบายความรู้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นสำคัญ ไม่คำนึงถึงการใช้สำนวนโวหารหรือความเพลิดเพลินของผู้อ่าน เพราะถือว่าผู้อ่านต้องการปัญญาความคิดมากกว่าความสนุก ส่วนบทความเชิงปกิณกะนั้น แม้ผู้เขียนจะมุ่งหมายให้ความรู้ความคิดกับผู้อ่านบ้าง แต่ต้องถือว่าเป็น ความมุ่งหมายรอง เพราะผู้อ่านบทความเชิงปกิณกะจะต้องได้ความเพลิดเพลินเป็นเบื้องต้น นักเขียนบางคนก็อาจจะเขียนบทความเชิงสาระพร้อม ๆ กับให้ความรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลิน แก่ผู้อ่านด้วย
บทความสมัยนี้ค่อนข้างจะมีลักษณะผสมผสานกันทั้งเชิงสาระและปกิณกะ ดังที่ปรากฏอยู่ตามหนังสือพิมพ์รายวัน และรายสัปดาห์ ถ้าจะแบ่งตามเนื้อเรื่องของบทความแล้วยังแยกออกไปได้อีกหลายประเภท เช่น

1.
บทความแสดงความคิดเห็น เป็นบทความที่ผู้เขียนหยิบยกเอาปัญหาในสังคมนั้น ขึ้นมาเขียน มีทั้งปัญหาส่วนรวมและปัญหาส่วนบุคคล ปัญหาส่วนรวมก็เช่น ปัญหาเศรษฐกิจการศึกษา การเมือง การปกครอง ฯลฯ ปัญหาส่วนบุคคลก็เช่น การป้องกันอาชญากรรม การรักษาความปลอดภัยให้ตนเอง การประกันชีวิต ฯลฯ บางครั้งผู้เขียนอาจจะเขียนตอบโต้บทความที่ผู้อื่นเขียนขึ้นเพื่อแสดงความคิดเห็นในแนวหนึ่งแนวใด ปัญหาที่มีข้อขัดแย้งนี้มักจะมีข้อคิดแตกต่างกันออกไปสองแนว คือ ความคิดเห็นในแนวยอมรับและโต้แย้ง เช่น หัวข้อบทความที่ว่า เพศศึกษาเหมาะสมกับการศึกษาระดับมัธยมเพียงไร บทความประเภทนี้ผู้เขียนอาจจะเลือกแสดงความ คิดเห็นในแนวใดแนวหนึ่งก็ได้ หรือจะเสนอความคิดเห็นของคนทั่ว ๆ ไปทุกด้านก็ได้ เพื่อปล่อยให้ผู้อ่านพิจารณาตัดสินเอาอง วิธีเขียนบทความแสดงความคิดเห็นนี้ ผู้เขียนต้องเริ่มต้นด้วยการ แยกแยะปัญหาให้กระจ่างชัดเสียก่อนว่า คืออะไร วิธีแก้ปัญหามีอย่างไร ผู้เขียนเห็นชอบด้วยวิธีไหน เหตุที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบด้วย ในตอนลงท้ายควรจะย้ำความคิดเห็นของตนให้เด่นชัดอีกทีหนึ่ง

2. บทความประเภทสัมภาษณ์ เป็นบทความที่แสดงความคิดของบุคคลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้เขียนบทความควรรู้จักเลือกบุคคลที่จะสัมภาษณ์ เช่น เป็นคนเด่น มีชื่อเสียง มีความเชี่ยวชาญ หรือมีความเข้าใจอย่างดีในเรื่องที่เราจะเขียน ได้แก่ การสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีถึงมาตรการผลักดันผู้อพยพจากเวียดนามและกัมพูชา สัมภาษณ์รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับนโยบายการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทางแฟชั่นสตรีเรื่องแนวโน้มในการแต่งกายของสตรีไทยในปัจจุบัน ฯลฯ การเลือกสัมภาษณ์ผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่เราต้องการ เป็นสิ่งที่จำเป็นเพราะบุคคลเหล่านี้จะสามารถให้ข้อเท็จจริงตลอดจนข้อคิดเห็นต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง และน่าเชื่อถือ บางครั้งผู้เขียนอาจเลือกสัมภาษณ์บุคคลอีกประเภทหนึ่งซึ่งไม่ใช่ ผู้สันทัดจัดเจนในเรื่องนั้น แต่เป็นผู้ที่เด่นอยู่ในความสนใจของสังคม เช่น สัมภาษณ์ดาราภาพยนตร์ เกี่ยวกับทรรศนะในการเลือกคู่ครองและการหย่าร้าง ทั้งนี้เพราะความเด่นของตัวบุคคลอาจดึงเรื่องขึ้นสู่ความสนใจของผู้อ่านได้ ในการนี้ผู้เขียนอาจแทรกเรื่องราวอื่น ๆ ลงไปด้วยเป็นต้นว่าชีวประวัติย่อ ๆ และเรื่องที่เกี่ยวพันกับบุคคลเหล่านั้น

3. บทความกึ่งชีวประวัติ มีลักษณะคล้ายกับบทความประเภทสัมภาษณ์ต่างกันในแง่ที่บทความประเภทสัมภาษณ์ต้องการแสดงข้อคิดเห็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องใด เรื่องหนึ่ง ส่วนบทความกึ่งชีวประวัตินั้นต้องการแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับตัวบุคคลที่ให้สัมภาษณ์ แต่ไม่ได้เน้นที่อัตชีวประวัติกลับไปเน้นที่ความสามารถและคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้เขาประสบ ความสำเร็จยิ่งใหญ่กว่าบุคคลทั่วไป เขามีวิธีการและหลักการในการดำรงชีวิต ตลอดจนการปฏิบัติตนอย่างไร เรื่องชีวประวัติเป็นสิ่งสำคัญรองลงมา ข้อมูลที่เราเก็บเอามาเขียนนั้น นอกจากจะได้จากการสัมภาษณ์บุคคลนั้นเองแล้ว อาจได้มาจากการสอบถามบุคคลแวดล้อม ซึ่งมีทั้งญาติมิตร และศัตรู ตลอดจนจากเอกสารหรือผลงานต่างๆ ที่เขาได้เคยสร้างไว้ รวมกันเข้าเป็นข้อมูลสำหรับประกอบการเขียนบทความ

4. บทความประเภทให้ความรู้ เป็นบทความที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรืออธิบายวิธีทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในการเขียนควรเลือกเรื่องที่ดึงดูดความสนใจ และผู้อ่านสามารถ ทำความเข้าใจตลอดจนปฏิบัติตามได้ไม่ยาก หัวข้อที่จะเลือกมาเขียนมีอยู่กว้างขวาง เช่น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 เป็นต้นว่า วิธีปรุงอาหารคาวหวาน วิธีตัดเย็บเสื้อผ้า การทำสวนครัว ฯลฯ
5. บทความประเภทให้แง่คิด โน้มน้าวใจ หรือกระตุ้นให้กระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้เขียนอาจเขียนอย่างตรงไปตรงมา หรือเขียนในเชิงอุปมาอุปมัยก็ได้ การเขียนเชิงอุปมาอุปมัยนั้นจะพูดถึงสิ่งอื่น ผูกเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกันโดยตลอด ข้อความทั้งเรื่องจะแทนความคิดที่ต้องการให้ผู้อ่านทราบ เช่น กล่าวถึงสัตว์ฝูงหนึ่ง แต่เดิมเคยอยู่เป็นสุขรักใคร่สามัคคีกัน ต่อมาทะเลาะกันวิวาทกันแยกตัวไปอยู่ที่อื่นเป็นจำนวนมากไม่ช้านักสัตว์ฝูงนั้นก็ถูกสัตว์ฝูงอื่นรังแกล้มตายไปหมดสิ้น เรื่องทั้งหมดนี้เป็นการแทนความคิดของผู้เขียนที่จะชี้ให้เห็นโทษของการแตกสามัคคี เรื่องที่นำมาเขียนอาจเป็นการให้แง่คิดทั่ว ๆ ไป เช่น เรื่องการประหยัด ความรักชาติ ความเป็นพลเมืองดี ฯลฯ

6. บทความประเภทรายงานผลการท่องเที่ยว ถ้าเป็นการไปเที่ยวสถานที่แปลกใหม่ ไม่เคยมีใครไปมาก่อน จะเร้าความสนใจของผู้อ่านดีขึ้น เนื้อเรื่องนอกจากจะกล่าวถึงเรื่องราว การเดินทาง ลักษณะภูมิประเทศ และความสวยงามของสถานที่นั้น ๆ แล้ว ยังอาจแทรกเกร็ดความรู้ต่าง ๆ เช่น ข้อผิดพลาด ข้อเสนอแนะเพื่อความสะดวกสบาย สถานที่ที่ไม่ควรพลาด ข้อคิดเห็น บางประการเกี่ยวกับสถานที่นั้นซึ่งผู้เขียนเห็นว่าควรจะมีควรจะเป็น ฯลฯ เกร็ดเหล่านี้จะช่วยเสริมเรื่องราวให้น่าอ่านยิ่งขึ้น

7. บทความประเภทวิจารณ์ ผู้เขียนจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริง ลักษณะและคุณสมบัติต่าง ๆ ของเรื่องที่จะวิจารณ์อย่างถี่ถ้วน โดยอาศัยหลักวิชา เหตุผลหรือข้อเท็จจริงตัดสินว่าดีหรือไม่ ควรหรือไม่ควรอย่างไร บทความประเภทวิจารณ์นี้แบ่งออกเป็นประเภทย่อย ๆ ได้ 3 ประเภท
          ก. บทวิจารณ์หนังสือ ผู้เขียนจะต้องมีความรู้กว้างขวางในวิชาการหลายแขนง เพื่อเป็นแนวในการพิจารณาคุณค่าของหนังสือเรื่องนั้น ผู้เขียนจะวิจารณ์โดยใช้ความรู้สึกส่วนตัวมิได้ ต้องอาศัยหลักวิชา หยิบยกประเด็นต่าง ๆ ของหนังสือมากล่าวว่าดีหรือไม่ เหมาะหรือไม่เหมาะอย่างไร เช่น การวิจารณ์นวนิยายเรื่องหนึ่ง ประเด็นที่จะต้องพิจารณาก็คือ การใช้ภาษา เค้าโครงเรื่อง การจัดฉาก ลักษณะตัวละคร ความสมจริง การดำเนินเรื่อง การคลี่คลายเรื่อง ผู้วิจารณ์ต้องกล่าวทั้งแง่ดีและแง่ไม่ดี ท้ายสุดผู้วิจารณ์ต้องสรุปข้อคิดเห็นของตนเองว่า หนังสือ เรื่องนั้นมีคุณค่าควรแก่การอ่านหรือไม่เพียงใด
          ข. บทความวิจารณ์ข่าว มีมูลเหตุโดยตรงมาจากข่าว และเป็นข่าวที่ก่อให้เกิดปัญหา ในกลุ่มชน อาจเป็นปัญหาส่วนรวมหรือปัญหาส่วนบุคคลก็ได้ ผู้เขียนจะต้องศึกษาที่มาของข่าว ตลอดจนผลอันจะเกิดขึ้นเนื่องจากข่าวนั้น แล้วนำมาเขียนวิจารณ์แสดงข้อคิดเห็นของตนว่าควรหรือไม่ควรอย่างไรตามเนื้อหาของข่าว และอาจแสดงข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเป็นการเสนอแนะด้วย
          ค. บทความวิจารณ์การเมือง ผู้เขียนหยิบยกเอาเรื่องราวต่าง ๆ ทางการเมืองที่เป็นปัญหาขึ้นมากล่าวในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ การกระทำใด ๆ ก็ตามย่อมจะมีผลสองแง่อยู่เสมอ คือ ดีหรือเสีย ฉะนั้นผู้เขียนจึงต้องคอยจับเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีผลดังกล่าวมาแยกแยะ แสดงความคิดเห็น และอาจแนะแนวทางปฏิบัตินอกเหนือจากที่ได้เป็นไปแล้ว ผู้เขียนบทความวิจารณ์การเมืองจะต้องเป็นผู้ติดตามข่าวคราวให้ทันเหตุการณ์ มีความรอบรู้เรื่องการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ การเมืองในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยทำนายเหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

วิธีหาเนื้อหา

           ก่อนจะเขียนบทความ ผู้เขียนจะต้องค้นคว้าหาความรู้และเรื่องราวอันเป็นสาระ เพื่อมาเป็นเนื้อหาแห่งการเขียน และเนื้อหานี้จะได้มาจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น จากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน การสัมภาษณ์ หนังสือจากห้องสมุด จากบุคคลต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ใกล้ตัวและไกลตัว จากการเดินทางท่องเที่ยว จากปฏิทินในรอบปีซึ่งมีเทศกาลมากมายหลายอย่าง และจากวงการสถาบันต่าง ๆ

วิธีเขียน
          การวางโครงเรื่องให้ดีจะช่วยการเขียนได้มาก เพราะโครงเรื่องจะช่วยควบคุมการเขียน ให้เป็นไปตามแนวคิดที่กำหนดไว้ ทั้งยังเป็นการป้องกันมิให้เขียนซ้ำซากวนเวียนด้วย โครงเรื่อง แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป


1. คำนำ เป็นการเกริ่นหรือบอกกล่าวให้รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไร การขึ้นคำนำมีอยู่ 2 แบบ คือ การกล่าวทั่ว ๆ ไปก่อนที่จะวกเข้าเรื่องที่จะเขียนและการกล่าวเจาะจงไปตรงกับหัวข้อเรื่อง ที่จะเขียนเลยทีเดียว การเขียนคำนำต้องให้น่าอ่านชวนติดตาม เพราะผู้อ่านนิยมอ่านย่อหน้าแรกก่อน ถ้าเขียนคำนำจะเร้าความสนใจของผู้อ่านได้ต่อไป
2. เนื้อเรื่อง แบ่งเป็น 2 ตอน ส่วนแรก คือ การขยายความเมื่อเกริ่นแล้วในคำนำ ผู้อ่านยังติดตามความคิดได้ไม่ดีพอ ก็ต้องขยายความออกไปเพื่อช่วยให้เข้าใจได้มากขึ้น ส่วนที่สองเป็น รายละเอียด มีการให้สถิติ รวบรวมข้อมูลการเปรียบเทียบหรือการยกตัวอย่างประกอบ แต่ต้องระวังอย่าให้มากเกินไปจนน่าเบื่อ
3. คำลงท้าย เป็นส่วนที่แสดงทรรศนะข้อคิดเห็นของผู้เขียน รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาที่มีด้วย

การตั้งชื่อเรื่อง

           ชื่อเรื่องจะสะดุดตาผู้อ่านเป็นอันดับแรก ฉะนั้นการตั้งชื่อเรื่องจึงเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของการเขียนบทความ ชื่อเรื่องสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับยุคสมัยด้วย บางสมัยชื่อจะสั้น บางสมัยชื่อจะยาวแล้วแต่ความนิยม นักเขียนควรตั้งชื่อให้แปลกไว้ แต่ชื่อเรื่องกับเนื้อเรื่องควรมีความสัมพันธ์กันไม่ใช่ไปคนละทิศละทาง

วิธีเขียนคำนำ

          การเขียนคำนำเป็นตอนที่ยากที่สุด แต่ถ้าเริ่มได้แล้วก็จะช่วยให้เรื่องดำเนินไป การเขียน คำนำจึงต้องการความประณีตมาก เพื่อเป็นเครื่องจูงใจผู้อ่านให้ติดตามเรื่องไปจนจบ

วิธีเขียนคำนำตามที่นิยมกันก็คือ

1. อ้างถึงวันเกิดของบุคคลสำคัญ ๆ วันครบรอบปี วันสถาปนา ฯลฯ ซึ่งส่วนมากผู้อ่าน รู้เรื่องมาบ้างแล้ว และก็คงอยากรู้เพิ่มเติม
2. บอกวัตถุประสงค์หรือสาเหตุจูงใจให้เขียน เพื่อเป็นการขึ้นต้นอย่างตรงไปตรงมา
3. บอกผลสรุปของความมุ่งหมาย คล้ายกับวิธีที่ 2 แต่แนบเนียนไม่บอกตรงไปนัก
4. ขึ้นต้นด้วยข้อความโลดโผน น่าตื่นเต้น เพื่อให้ผู้อ่านสะดุดใจ แต่ต้องอยู่ภายในขอบเขต และขอบข่ายแห่งความสุภาพ
5. เขียนแบบแนวขัน จะทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ขันและความพอใจ
6. เขียนแบบประชดประชันหรือเสียดสี
7. ยกเหตุการณ์มาเล่า แล้วจึงบอกผล
8. ตั้งต้นด้วยคำถาม ชวนให้สนใจ อยากรู้คำตอบ
9. เขียนแบบกันเอง คล้ายกำลังสนทนากับผู้อ่าน
10. เขียนแบบบรรยาย ต้องมีถ้อยคำและลีลาที่น่าอ่าน


ข้อควรระวัง* ในการเขียนคำนำก็คือ ไม่ควรขึ้นต้นด้วยประโยคเดียวกับชื่อเรื่อง เว้นแต่ ชื่อเรื่องจะแปลก และเป็นความตั้งใจที่จะเน้นเป็นพิเศษ นอกจากนั้นไม่ควรใช้สุภาษิตคำประพันธ์ ที่คนรู้จักและเข้าใจดีอยู่แล้ว เพราะจะไม่เร้าความสนใจเท่าที่ควร...



เอกสารอ้างอิง
ประเทือง ; 2553 การเขียนบทความ สืบค้นจาก https://www.gotoknow.org/posts/313793
บรรณาธิการ ฮีโร่ซัง ; 2015 เขียนบทความ คุณทำได้! [Video File] สืบค้นจาก https://www.youtube.com/watch?v=iIbCjUShtcg

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การถ่ายภาพวัตถุขนาดเล็ก



          ดยทั่วไปแล้ว การถ่ายภาพวัตถุขนาดเล็กนั้น ทำได้ง่ายเพียงแค่เคลื่อนที่เข้าไปใกล้วัตถุเท่านั้นแต่การถ่ายภาพวัตถุขนาดเล็กโดยขยายภาพของวัตถุจนมองเห็นได้อย่างชัดเจนนั้น จะทำให้คุณมองเห็นโครงสร้างพื้นผิวและรายละเอียดของวัตถุที่เราอาจมองข้ามไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ การถ่ายภาพวัตถุขนาดเล็กอาจจับใจ สร้างความแปลกใจ หรือแม้แต่ทำให้ผู้ชมภาพตื่นตระหนกจากรายละเอียดที่เผยออกมา





นี่คือภาพถ่ายระยะใกล้ของแมลงเต่าทองที่ถ่ายโดยใช้เลนส์มาโคร 100 มม. ลองสังเกตลักษณะต่อไปนี้ ซึ่งสามารถพบได้ในภาพถ่ายวัตถุขนาดเล็กทั่วไป 1) วัตถุจะถูกขยายใหญ่เกินกว่าภาพที่คุณเคยมองเห็นด้วยตาเปล่า 2) ระยะชัดลึกของภาพน้อยมาก 3) มีการตั้งค่าระบบวัดแสงเพื่อให้กล้องเปิดรับแสงจากวัตถุได้ดี

ไม่ว่าวัตถุขนาดเล็กชนิดใด หากมีพื้นผิวหรือลักษณะที่น่าสนใจ ก็สามารถนำมาใช้เป็นวัตถุสำหรับถ่ายภาพขนาดเล็กที่ดีได้ อย่างไรก็ตาม วัตถุที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่
_____________________________________________________________________________




• ดอกไม้และต้นไม้

          ดอกไม้และต้นไม้เป็นวัตถุขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมเนื่องจากพวกมันอยู่นิ่งกับที่และถ่ายได้ง่าย ในขณะเดียวกันก็มีโครงสร้างผิวและรูปร่างที่หลากหลาย ทำให้ภาพถ่ายวัตถุขนาดเล็กที่ออกมามีความสวยงาม
______________________________________________________________________________


• สิ่งมีชีวิตที่อยู่กับที่และมีรูปร่างหรือผิวสัมผัสที่น่าสนใจ

          ไม่ว่าวัตถุขนาดเล็กชนิดใด หากมีพื้นผิวหรือลักษณะที่น่าสนใจ ก็สามารถนำมาใช้เป็นวัตถุสำหรับถ่ายภาพขนาดเล็กที่ดีได้อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่ดีที่สุด ช่างภาพควรถ่ายราย
ละเอียดที่ยังไม่มีใครเคยเห็นของวัตถุนั้นเพื่อสร้างความประหลาดใจแก่ผู้ชมภาพ
______________________________________________________________________________



• แมลง

          แมลงอาจเป็นวัตถุที่ท้าทายฝีมือช่างภาพมากที่สุด แต่ภาพถ่ายที่ได้ก็สวยงามที่สุดเช่นกัน
การถ่ายภาพแมลงขนาดเล็ก นอกจากจะต้องใช้ความอดทนในการติดตามหรือรอให้มันปรากฏตัว
ในตำแหน่งที่ถูกต้องมีระยะที่เหมาะสมกับการถ่ายภาพแล้ว ยังต้องอาศัยการตั้งค่ากล้อง
การโฟกัส และการถ่ายภาพอย่างรวดเร็วก่อนที่พวกมันจะขยับตัวอีกครั้งด้วย
______________________________________________________________________________

ตัวอย่างการถ่ายภาพวัตถุขยาดจิ๋ว


เอกสารอ้างอิง

Mike Browne  ;  2012  Macro Photography Tips Part 1 [Video File]  สืบค้น
จาก  https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=n5LEbDalPRA

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

สรุปบทความวิจัย : ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการใช้เครือค่ายสังคมออนไลน์

สรุปเนื้อหาของบทความ


          ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน ผลการศึกษาที่พบส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับลักษณะสังคมที่ปัจจุบันเป็นสังคมการเรียนรู้ คนในสังคมมีลักษณะของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในด้านต่างๆ มีการรวมกลุ่มกันและทํางานเป็นทีมโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วย มีความไว้ใจในเรื่องของระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์มีความไว้ใจเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนที่ติดต่อผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์มากขึ้น ผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์มีการเปิดเผยข้อมูลรวมทั้งมีทัศนคติในด้านบวกเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ยอมรับแนวคิดมุมมองที่แตกต่างและพร้อมที่จะรับข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งจากลักษณะดังกล่าวถือเป็นประโยชน์สําหรับการพัฒนาบุคลากรภายในหน่วยงานที่มีการจัดการความรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพขององค์กร




ข้อดีของเครือข่ายสังคมออนไลน์

• ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
• สะดวกต่อการประชาสัมพันธ์ หรือการกระจายข่าว
• ง่ายต่อการเข้าถึง ใครก็สามารถใช้ได้

ข้อเสียของเครือข่ายสังคมออนไลน์

• เสี่ยงต่อการได้รับข้อมูลที่ไม่เป็นจริง
• เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
• เสี่ยงต่อการถูกปลอมแปลงเพื่อไปใช้หาผลประโยชน์